ปะยางรถยนต์ แบบไหนดีที่สุด มีกี่แบบ แล้วต้องเลือกยังไง?
ปะยางรถยนต์ แบบไหนดีที่สุด มีกี่แบบ แล้วต้องเลือกยังไง?
การปะยางรถยนต์ ถือเป็นทักษะที่ผู้ขับขี่ควรรู้เพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะว่าหากเกิดรถยางรั่วในตอนขับขี่ ซึ่งสาเหตุหลักของยางรั่วนั้น มักเกิดจากเศษ ตะปู น็อต เศษแก้ว หรือเหล็ก ซึ่งมักจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ยางรั่ว และการปะยางรถนั้นก็เพื่อให้รถสามารถขับต่อได้ และยังเป็นวิธีจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซื้อยางใหม่ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนที่ขับรถนั้นจะปะยางเป็น การเรียกใช้บริการร้านปะยาง หรือ ปะยางนอกสถานที่ จึงทำให้มั่นใจได้มากกว่า แต่เราจำเป็นต้องรู้ว่า ปะยางมีกี่แบบ และ ปะยางรถยนต์ แบบไหนดี
[/col] [/row] [row] [col span__sm=”12″]ปะยางรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ บิ๊กไบค์ คืออะไร
การปะยางไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ บิ๊กไบค์ รถบรรทุก รถตู้ หรือจะเป็นรถอื่นๆ ก็เพื่อที่จะซ่อมรอยรั่วบนยางเพื่อให้รถสามารถขับได้ตามปกติ และการปะยางยังเป็นวิธีที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซื้อยางใหม่ แต่การปะยางไม่ได้เป็นเรื่องง่าย ๆ เพราะการปะยางนั้นมีหลายวิธี ดังนั้น การปะยางจึงต้องเลือกวิธีที่เหมาะสมกับสถานการณ์และสภาพของยาง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การปะยางมีกี่แบบ แล้วเลือก ปะยางแบบไหนดี ให้เหมาะกับรถ
เมื่อคุณขับรถอยู่บนท้องถนน อาจจะเคยเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น ขับรถเหยียบตะปู ทำให้ลมยางรั่วออกมาจนแบน การ ปะยางรถยนต์ เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาที่ง่ายและรวดเร็ว แต่คุณต้องรู้ว่าการปะยางมีหลายแบบ และไม่ใช่ทุกแบบที่เหมาะสมกับสภาพของยางของคุณ และการปะยางแบบไหนดี ขึ้นอยู่กับขนาด ลักษณะ และสถานที่ของรอยรั่ว โดยส่วนใหญ่ การปะยางแบบแทงไหม เหมาะสำหรับรอยรั่วเล็ก ๆ บนผิวหน้าของยาง เช่น เกิดจากตะปู เศษเหล็ก หรือเศษแก้ว การปะยางแบบสตรีม เหมาะสำหรับรอยรั่วที่ไม่ใหญ่มาก แต่ต้องถอดล้อออกมาเพื่อปะที่ด้านในของยาง โดยจะใช้ความร้อนละลายยางเพื่อปะให้แน่น
1. แทงหนอน หรือ แทงไหมยาง (ปะยางตัวหนอน)
การปะยางแบบแทงใยไหม แทงตัวหนอน นับเป็นวิธีปะยางที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด เพราะการปะยางแบบแทงใยไหม เหมาะสำหรับใช้กับรถจักรยานยนต์ รถยนต์ เพราะคุณสามารถหาซื้อชุดอุปกรณ์ปะยางได้ในราคาไม่แพง (โดยส่วนใหญ่จะมีเข็ม ใยไหม คีม และกรรไกร) สามารถทำเองได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ และไม่ต้องถอดล้อออกจากตัวรถ
ขั้นตอนการปะยางแบบแทงใยไหม คือ
- ดึง สิ่งแปลกปลอมที่ทิ่มเข้าไปในเนื้อยางออกมาด้วยคีม
- ขยาย รูรั่วให้กว้างขึ้นด้วยเข็มสำหรับใช้แทง
- สอด ใยไหมผ่านเข็ม แล้วแทงเข้าไปในรูรั่ว
- ตัด ส่วนเกินของใยไหมให้เรียบไปกับผิวหน้าของยาง
2. ปะยางสตรีมร้อน
อีกวิธีในการปะยางที่ได้รับความนิยม นั้นก็คือการปะยางแบบสตีมร้อน แต่การ ปะยางสตีมร้อน นั้นต้องใช้เครื่องมือและประสบการณ์ เพราะต้องถอดยางออกจากล้อ และปะยางจากด้านในของยาง โดยจะใช้แผ่นยางที่มีขนาดเหมาะสมกับรูรั่ว แปะไว้ที่บริเวณรูรั่ว แล้วใช้เครื่องสตีมความร้อน กดทับให้แผ่นยางปะละลายเข้ากับเนื้อยาง จนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งการ ปะยางสตีมร้อน นั้น ถือเป็นวิธีที่ไดเรับความนิยม เพราะมักจะทนทานมากกว่า แต่การ ปะยางแบบสตีมร้อน ก็มีข้อเสีย เพราะการใช้ความร้อนในการปะยาง นั้นอาจทำให้เนื้อยางบริเวณนั้นแข็งขึ้น เสียคุณสมบัติ เช่น ความยืดหยุ่น ความกระด้าง หรือความกระชับ ซึ่งอาจทำให้เกิดโอกาสบวมได้ในอนาคต
3. ปะยางสตรีมเย็น
การปะยางแบบสตีมเย็น เป็นวิธีที่ง่ายและปลอดภัย โดยที่ไม่ต้องใช้ความร้อนหรือไฟเหมือนการสตีมร้อน แต่ก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีเทียบเท่ากัน วิธีการคือ ใช้เครื่องมือขัดผิวยางรอบรูรั่วให้หยาบ แล้วทากาวพิเศษที่มีส่วนผสมของยางและสารเคมี ทำให้กาวแข็งและยึดติดกับยางได้ดี จากนั้นใช้แผ่นยางขนาดเล็กปะทับบนรูรั่ว ใช้ค้อนทุบให้แผ่นยางติดเข้ากับผิวยาง เสร็จแล้วก็ได้ยางใหม่ที่ไม่มีรอยรั่ว และการ ปะยางสตีมเย็น ยังไม่ต้องกังวลเรื่องลมซึมหรือโครงสร้างยางเสีย และการปะยางสตีมเย็นยังทำให้ใช้ไปได้นานถึงตอนที่ยางหมดอายุ การสตีมเย็นเป็นวิธีการซ่อมยางที่ประหยัด
ปะยางรถยนต์ ราคาเท่าไหร่
สำหรับการ ปะยางรถยนต์ เป็นวิธีที่หลายคนเลือกใช้ มากกว่าการจะต้องเปลี่ยนยางใหม่ แต่การปะยางรถยนต์นั้นก็มีหลายวิธีการและราคาที่แตกต่างกันไป ซึ่งหลายคนอยากรู้ว่า ปะยางรถยนต์ ราคาเท่าไหร่ ราคาแพงไหม ต้องบอกเลยว่าการปะยางนั้นขึ้นอยู่กับขนาดของรูรั่ว และความเหมาะสมกับยาง โดยทั่วไปแล้ว ซึ่งจะแบ่งได้ตามนี้
- ปะยางแทงไหม : เป็นวิธีการปะที่ง่ายและรวดเร็ว ซึ่งจะมีค่าบริการประมาณ 70 – 150 บาท ต่อจุด
- ปะยางสตีมร้อน : เป็นวิธีการปะที่ใช้ความร้อนจากไฟ เพื่อให้กาวและแผ่นยางที่ใช้ปะละลายเข้ากับผิวยาง เหมาะสำหรับรูรั่วขนาดใหญ่ ค่าบริการประมาณ 150 – 300 บาท ต่อจุด
- ปะยางสตีมเย็น : เป็นวิธีการปะที่ไม่ใช้ความร้อน แต่ใช้กาวพิเศษที่มีส่วนผสมของยางและสารเคมี เพื่อให้กาวแข็งและติดกับผิวยางได้ดี เหมาะสำหรับรูรั่วขนาดเล็กถึงกลาง ค่าบริการประมาณ 150 – 300 บาท ต่อจุด
แต่อย่างไรก็ตาม การปะยางนั้น ก็อาจจะมีค่าปบริการที่แตกต่างกันไปในแต่ละที่ เพราะอาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอื่นๆ เช่น ค่าถ่วงล้อ ค่าตั้งศูนย์ล้อ ค่าปะยางนอกสถานที่ เป็นต้น ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานที่บริการและสภาพของยางของคุณ
คำถามที่พบบ่อย
ยางโดนตะปู ปะแบบไหนดี
ถ้ายางรถยนต์ของคุณโดนตะปู คุณควรปะยางแบบไหนดี ขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของรูรั่ว โดยทั่วไปแล้ว มีวิธีการปะยาง 3 แบบ คือ
- ปะยางแทงไหม : เป็นวิธีการปะที่ง่ายและรวดเร็ว ใช้ไหมหรือเส้นพลาสติกเจาะผ่านรูรั่ว แล้วใช้สารเคมีให้ไหมแข็งติดกับผิวยาง เหมาะสำหรับรูรั่วขนาดเล็กถึงกลาง
- ปะยางสตีมร้อน : เป็นวิธีการปะที่ใช้ความร้อนจากไฟ เพื่อให้กาวและแผ่นยางที่ใช้ปะละลายเข้ากับผิวยาง เหมาะสำหรับรูรั่วขนาดใหญ่
- ปะยางสตีมเย็น : เป็นวิธีการปะที่ไม่ใช้ความร้อน แต่ใช้กาวพิเศษที่มีส่วนผสมของยางและสารเคมี เพื่อให้กาวแข็งและติดกับผิวยางได้ดี เหมาะสำหรับรูรั่วขนาดเล็กถึงกลาง
อย่างไรก็ตาม ถ้ายางโดนตะปูที่บริเวณหน้ายาง หรือแก้มยาง เป็นรอยยาว คุณควรเปลี่ยนยางใหม่ทันที เพื่อป้องกันการแตกขอบยางที่อาจจะเกิดขึ้น
แก้มยางโดนตะปู รถเหยียบตะปู ขับต่อได้ไหม
ถ้าแก้มยางรถยนต์ของคุณโดนตะปู และลมไม่รั่วซึม คุณอาจจะคิดว่าสามารถขับต่อได้ แต่นี่เป็นการเสี่ยงอันตราย เพราะแก้มยางเป็นส่วนที่รับแรงกระแทกและความร้อนจากการขับขี่ ถ้ายางโดนตะปู อาจทำให้เกิดรอยแตกหรือฉีกขาดได้ ซึ่งจะทำให้ลมยางหมดทันที และอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้น ถ้าแก้มยางโดนตะปู คุณควรเปลี่ยนยางใหม่ทันที ไม่ควรปะยาง เพราะการปะยางไม่สามารถซ่อมแซมโครงสร้างของยางได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าคุณไม่สามารถเปลี่ยนยางได้ทันที คุณควรขับรถอย่างช้าๆ และหลีกเลี่ยงการเบรกกระทันหัน จนกว่าจะไปถึงสถานที่ซ่อมบำรุงรถยนต์
ปะยางรถยนต์ อยู่ได้นานไหม
อายุการใช้งานของยางรถยนต์ที่มีการปะยาง ขึ้นอยู่กับวิธีการปะ และสภาพของยาง โดยทั่วไปแล้ว มีวิธีการปะยาง 2 แบบ คือ
- แทงไหม: เป็นวิธีการปะที่ง่ายและรวดเร็ว ใช้ไหมหรือเส้นพลาสติกเจาะผ่านรูรั่ว แล้วใช้ความร้อนหรือสารเคมีให้ไหมแข็งติดกับผิวยาง เหมาะสำหรับรูรั่วขนาดเล็กถึงกลาง อยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน
- สตีม: เป็นวิธีการปะที่ใช้ความร้อนจากไฟหรือไฟฟ้า เพื่อให้กาวและแผ่นยางที่ใช้ปะละลายเข้ากับผิวยาง เหมาะสำหรับรูรั่วขนาดใหญ่ อยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี
อย่างไรก็ตาม การปะยางไม่ได้เป็นการซ่อมแซมโครงสร้างของยางได้อย่างสมบูรณ์ เพราะยังเป็นจุดอ่อนที่อาจจะเกิดการรั่วซึมลมอีกได้ ดังนั้น คุณควรเปลี่ยนยางใหม่เมื่อคุณสบายทางการเงิน หรือเมื่อยางถึงอายุการใช้งาน
[/col] [/row]